วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

งานเขียนบทความเชิงวิจารณ์ โดย อนุวัฒน์ มากชูชิต

ล้วงลับ “โรงข้าวโพดคั่ว” 

         ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!  หลายคนคงพูดอุทานออกมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในโรงข้าวโพดคั่ว หรือโรงหนังนั่นเอง ซึ่งทุกวันนี้  มีหลายสิ่งหลายอย่างรบกวนจิตใจไม่ให้มีความสุข ถึงแม้ผู้บริโภคทั้งหลายจะยอมควักเงินจากกระเป๋าเพื่อแลกกับความบันเทิงบนจอยักษ์ แต่เงินที่เสียไปก็ไม่อาจซื้อความสุขได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตรงกันข้าม กลับมีแต่ทำให้สมองเครียดหนักกว่าเดิม เมื่อต้องทนกับสภาพบีบบังคับหลากหลายรูปแบบที่บรรจุอยู่ในโรงข้าวโพดคั่ว
        
 
          เมื่อไม่นานมานี้ประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เกือบจะสิ้นปี ได้มีโอกาสไปดูหนัง เรื่อง คุณนายโฮ ที่โรงหนังแห่งหนึ่งซึ่งไม่ขอระบุชื่อ อยากจะร้องโฮตามภาพยนตร์ เพราะได้เจอกับความมหาโหด เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรอย่าง   นั่นก็คือเรื่อง “ราคา” ที่ยังคาตา คาหู และคาใจอยู่เมื่อดูหนังจบ
          
อ้างอิงรูปภาพ : http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=7350&page=1
            เริ่มแรก คือ “ราคาขนมขบเคี้ยว อาหารขยะ และเครื่องดื่มอัดลม”   นับได้ว่าเป็นเมืองหน้าด่านของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะตรงนี้จะเป็นจุดตรวจตั๋วโดยที่ด้านหน้าจะมีบาร์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายเครื่องดื่ม  อาหารว่าง  ขนมขบเคี้ยว ส่วนใครที่ต้องการอาหารหนักๆ หน่อยก็จะมีไส้กรอก แซนด์วิช ไว้บริการ จะมีกระจายอยู่ทั่วทุกๆชั้น ซึ่งนับวันยิ่งราคาสูงขึ้นไปทุกที เครื่องดื่มพวกสีส้ม สีเขียว สีน้ำน้ำตาล ปาไปแก้วละ ๓๐ กว่าบาทแล้ว และสัญลักษณ์ที่ว่ามาแล้วไม่ซื้อไม่ได้นั่นก็คือ “ข้าวโพดคั่ว” เรียกอย่างหรูๆ ว่า “ป๊อปคอร์น” เมื่อมาอยู่ในโรงหนัง กลับถือโอกาสขึ้นตามสถานที่ตั้งไปด้วย มีทั้งรสหวาน  รสชีส  และรสเค็ม ขนาดเล็ก ๕๕ บาท ขนาดใหญ่ ๖๐ บาท หรือถ้าคิดว่าไม่อิ่มกระเพาะ ก็มีป็อปคอร์นขนาดบิ๊กเบิ้ม ซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ ๑๑๙  บาท นับว่าเผาผลาญเงินไปจริงๆ สู้ไปกินตามหนังกลางแปลงแค่ถุงละ ๑๐ บาท ๒๐ บาทจะดีกว่า
            
อ้างอิงรูปภาพ : http://movie.mthai.com/movie-news/52910.html
             ต่อมา ราคาตั๋ว ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดใจไม่แพ้กัน จากเดิมแค่ไม่ถึงร้อยก็ต้องทำงานหาเงิน หรือขอเงินผู้ปกครองที่ทำงานแทบกระอักเลือด ราคาที่นั่งธรรมดาปาเข้าไปร้อยกว่า หนักหน่อยก็ ๑๘๐-๒๐๐ เลยก็มี ถ้าจะอ้างว่าเป็นราคาความหรูของโรงหนังที่บวกเพิ่มเข้าไป เพราะว่าดูได้ในระบบ ๓D หรือ ๓ มิติ ก็ยังอาจพอเข้าใจได้ แต่จากที่เจอมากับตัวและได้ฟังคำคนบ่นกันมากมายบนโลกออนไลน์แล้วสรุปได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรม
         
 จากการไปค้นข้อมูลในเรื่องนี้ผู้ประกอบการบางรายบอกว่า เป็นการถือโอกาสเพิ่มค่าตั๋วหนัง ถ้าหนังเรื่องไหนฟอร์มยักษ์หน่อยหรือคนดูเยอะ กระแสตอบรับดี ราคาจะเขยิบเพิ่มขึ้นอีก ๒๐-๔๐ บาทต่อที่นั่ง ทั้งๆ ที่ฉายโรงเดียวกับที่หนังเรื่องอื่นๆ เคยฉาย ซึ่งองค์ประกอบเรื่องภาพ เสียง การบริการ หรือแม้แต่เก้าอี้นั่งกลับไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ถามว่าลูกค้าต้องเสียเงินเพิ่มเพื่ออะไร ในเมื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเบาะที่นั่งหรือพรมในโรงภาพยนตร์ราคาแพงนั้น เคยได้รับการทำความสะอาดให้คุ้มค่าแก่เงินที่เสียไปบ้างหรือเปล่า
         ถึงแม้จะมี “โปรโมชันแบ่งปันน้ำใจ”  ทุกเรื่อง ทุกรอบ คิดเพียง ๖๐ หรือ  ๘๐ บาทเท่านั้นถ้ามีบัตรสมาชิก และอีกอย่างคือทุกๆพุธ  จะลดราคา  แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นแค่ “โปรโมชันที่จอมปลอม เพราะไม่ได้น่าตื่นเต้นดีใจอย่างที่พยายามล่อหลอกเอาไว้ พออยากดูหนังใหม่ๆ สักเรื่อง กลับถูกพนักงานขายตั๋วทำลายความฝันด้วยข้ออ้างที่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่รวมอยู่ในโปรโมชันค่ะ ราคาดังกล่าวจึงเป็นจริงได้เพียงหนังประเภทเก่าค้างโรง แค่ ๘๐ บาท ดูได้ทั้งวันตามโรงหนังแถบชานเมืองและต่างจังหวัดเท่านั้น สุดท้ายประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อจึงจำต้องเดินคอตกไปซื้อตั๋วราคาแพงเหมือนเดิม
        ยังไม่รวมพฤติกรรมการลิดรอนสิทธิผู้บริโภคด้วยกฎเกณฑ์ที่ว่า ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มจากภายนอกเข้ามารับประทานภายในโรงภาพยนตร์ ทำให้ไม่มีทางเลือกสำหรับคนที่ท้องว่าง เมื่อหิวไม่รู้ทำทำไรได้ก็ต้องพึ่ง พึ่งข้าวโพดคั่วและน้ำอัดลม เหมือนเป็นการติด “บ่วง” ที่ไม่อาจจะแก้ได้ บางรายก็ต้องอาศัยวิธีซุกซ่อนอาหารที่อยากกินเข้าไปแทน โดยยัดเข้าไปตามซอกที่คิดว่าลึกลับที่สุด ถ้าพนักงานตรวจค้นไม่เจอก็ถือว่าโชคดีไป
        
ถึงจะแก้ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ต้องแก้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้นคือ วิธี ทำใจ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่สนใจ ราคาตั๋วราคาแพงๆ หรือแม้กระทั่งข้าวโพดคั่วที่ไม่เคยนึกอยากกินตั้งแต่แรก แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกแย่ๆ จะหมดสิ้นลง เพราะยังมีโอกาสได้เจอเรื่องกวนใจในโรงภาพยนตร์ได้อีกหลากหลายประการอย่างที่หลายๆคนเคยเจอมาแล้ว
       สุดท้ายประชาชนก็ต้องพึ่งแผ่นผีที่วางขายเกลื่อนตลาดในราคาแสนถูกต่อไป คุณตำรวจคงทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่...


8 ความคิดเห็น:

  1. เป็นเรื่องจริงมากๆ อะไรจะเเพงขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่หนังที่ชอบจริงๆจะไม่ดูให้เสียตังค์ละ 5555555555555

    ตอบลบ
  2. ใช่ๆครับ แต่อย่างไรเราต้องการที่จะดูอยู่ดี แม้จะแพงขนาดไหน อิอิ

    ตอบลบ
  3. เห็นด้วยที่สุดเลยค่ะ

    ตอบลบ
  4. เรื่องจริงเลยครับ สงสัยเอาข้าวโพดพันธุ์กษัตริย์บรูไน มาทำให้ทาน

    ตอบลบ
  5. เป็นตัวอย่างการวิจารณ์ที่ดีมากๆคะ

    ตอบลบ
  6. แพงจัง แต่ก็ยังไปดู

    ตอบลบ
  7. เป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ

    ตอบลบ